info@icons.co.th 02 810 8892-6 216.73.216.155

“เพ็ทแอนด์มี” ดันโมเดลซับสคริปชั่น ผุดร้านไซซ์ใหญ่ หนุนยอดขายปี’68 โตแรง

Retails News / ข่าวหมวดห้างสรรพสินค้า

“เพ็ทแอนด์มี” กางแผนปี 2568 ชิงตลาดสัตว์เลี้ยง 7 หมื่นล้าน ปักธงสาขาไซซ์ใหญ่ 1-2 สาขา ในหัวเมืองหลัก ดันโมเดล Subscription หวังการกระตุ้นยอดขาย ส่งกลยุทธ์ Omnichannel ผสานออนไลน์-ออฟไลน์ เจาะกลุ่ม Mass Premium พร้อมพัฒนา Ecosystem เพื่อรับมือการแข่งขัน มั่นใจปี 2568 โตต่อเนื่อง ส่วนสิ้นปี 2567 คาดโตตามเป้า

ดร.มลฤดี เลิศอุทัย กรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจ Health and Wellness บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารร้านค้าปลีกเฉพาะทางสำหรับสัตว์เลี้ยง ภายใต้แบรนด์ PET’N ME เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมธุรกิจสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยปี 2567 มีมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 8-12% ต่อปี โดยกลุ่มอาหารสัตว์ยังคงเป็นตลาดหลัก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของมูลค่าตลาดรวม ขณะที่ Nonfood ซึ่งรวมถึงสินค้าประเภทรถเข็น อุปกรณ์ ของเล่น และสายจูง มีสัดส่วนประมาณ 30% โดยในปี 2568 คาดว่าตลาดจะยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ มีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากประชากรคนไทยส่วนใหญ่มักจะอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว และไม่มีลูก ประกอบกับปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์สามารถทำได้ง่าย เช่นเดียวกับอุปกรณ์หรืออาหารต่างหาซื้อง่ายขึ้น สะท้อนจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จะเห็นภาพของการออกสินค้าใหม่ ๆ ทั้งอาหารสัตว์ ขนม อุปกรณ์ของใช้ ไปจนถึงการเปิดร้านสินค้าสัตว์เลี้ยงและคลินิก ที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโตของตลาด

“ซึ่งต้องยอมรับว่าเมื่อตลาดเติบโตสูงขึ้น สิ่งที่ต้องรับมือก็คือการแข่งขันที่อาจจะสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ ก็เริ่มที่จะกระโดดเข้ามาทำตลาดมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ก็คือการรักษาจุดแข็งทั้งในเรื่องของการบริการ คุณภาพสินค้า และประสบการณ์ภายในร้านให้ดีอย่างต่อเนื่อง”

ขยายสาขาเพิ่ม 1-2 สาขา

สำหรับ “เพ็ทแอนด์มี” ที่ถือเป็นร้านค้าปลีกเฉพาะทางสำหรับสัตว์เลี้ยง ในปี 2568 มีแผนขยายสาขาเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดและการแข่งขัน โดยตั้งเป้าขยายสาขาที่เป็นสแตนด์อะโลนขนาดใหญ่เพิ่ม 1-2 สาขา โดยหลัก ๆ จะมุ่งเน้นทำเลที่ตั้งในเมืองหลัก หรือพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูง จากปัจจุบันมีสาขาอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 8 สาขา แบ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ พื้นที่ประมาณ 300 ตร.ม.ขึ้นไป 4 สาขา และสาขาขนาดเล็ก พื้นที่ประมาณ 70 ตร.ม.ขึ้นไป 4 สาขา

พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีภายในร้าน ด้วยการออกแบบพื้นที่ร้านให้สัตว์เลี้ยงสามารถใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งเบื้องต้นจะมีการจัดสรรพื้นที่สำหรับสินค้ากลุ่ม Food และกลุ่ม Nonfood ในสัดส่วน 50 : 50

รวมถึงในบางสาขาก็จะมีพื้นที่สำหรับพาร์ตเนอร์ที่เป็นกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ และบริการตัดแต่งขน หรือ Grooming อีกประมาณ 30% โดยสาขาขนาดใหญ่จะมีสินค้ารวมกว่า 10,000 SKU และสาขาขนาดเล็กจะมีสินค้ารวมกว่า 4,000 SKU ควบคู่ไปกับการขยาย PET’N ME Corner ในท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ให้ครอบคลุมทุกสาขามากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 70 สาขา โดยวางงบฯการลงทุนต่อปีอยู่ที่ประมาณ 10% ของยอดขายรวม

“การที่เราไม่ได้เร่งขยายสาขา เพราะอยากมั่นใจว่าพนักงานของเรามีความรู้ และได้รับการอบรมที่จะสามารถให้คำแนะนำกับลูกค้าได้อย่างครบถ้วน เพราะบางครั้งลูกค้า โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งหันมาเลี้ยงสัตว์ก็อาจจะไม่รู้ว่าต้องเลี้ยงยังไง ซึ่งเราก็จะมี Checklist ให้เลยว่ามือใหม่ที่เริ่มเลี้ยงจะต้องมีอุปกรณ์อะไรให้เขาบ้าง จะอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงต้องมีอะไรบ้าง ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการทำธุรกิจ”

โดยปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของ “เพ็ทแอนด์มี” จะอยู่ในช่วงอายุ 25-40 ปี ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z มีแนวโน้มในการเลือกซื้อสินค้า Nonfood เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีไลฟ์สไตล์ในการพาสัตว์เลี้ยงออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่มีอายุมากกว่า จะให้ความสำคัญกับสินค้าที่มุ่งเน้นคุณประโยชน์ หรือ Value Added เช่น อาหารเสริมมากขึ้น

ชูกลยุทธ์ Omnichannel

ดร.มลฤดีกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ “เพ็ทแอนด์มี” ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ Omnichannel ด้วยการผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และเลือกรับสินค้าที่ร้าน หรือใช้บริการจัดส่งถึงบ้าน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าจำนวนมาก หรือมีข้อจำกัดในการเดินทาง

ในส่วนของช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ จะเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่ม Nonfood ที่ไปวางจำหน่ายในช่องทาง Tops Online และเซ็นทรัล ออนไลน์ มากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มสินค้าที่วางจำหน่ายในช่องทาง Tops Online และเซ็นทรัล ออนไลน์ จะเป็นสินค้ากลุ่ม Food เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ในส่วนของกลุ่ม Food จะเพิ่มสินค้าระดับพรีเมี่ยมมากขึ้นเช่นเดียวกัน

รวมถึงในปี 2568 จะยังเดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าจัดงานอีเวนต์ในแต่ละไตรมาสอยู่ที่ประมาณ 1-2 งาน เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ให้เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันในกลุ่ม Nonfood จะมียอดใช้จ่ายต่อบิลเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 9,000-20,000 บาท ขณะที่กลุ่มอาหารสัตว์จะมียอดใช้จ่ายต่อบิลเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 300-2,000 บาท

ดันโมเดล Subscription ในไทย

ขณะเดียวกันยังเริ่มทดลองโมเดล Subscription เมื่อช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสำหรับสัตว์ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องซื้อซ้ำเป็นประจำ โดยลูกค้าสามารถเลือกรับสินค้าตามรอบที่กำหนด และชำระเงินในราคาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งโมเดลนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ โดยมั่นใจว่าโมเดลนี้จะสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

“ในประเทศไทยโมเดลนี้อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะพฤติกรรมคนไทยส่วนใหญ่ยังชอบออกมาเดินช็อปปิ้งเอง ซึ่งอาจจะแตกต่างจากที่สหรัฐอเมริกา ที่ผู้คนมักจะเลือกใช้โมเดล Subscription สูงถึง 70% เนื่องด้วยอาจจะมีปัจจัยในเรื่องของอากาศที่หนาว และบางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องการเดินทาง ซึ่งเราเองก็พยายามที่จะไดรฟ์โมเดลนี้ให้เป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นในไทย โดยปัจจุบันก็เริ่มมีลูกค้าที่เข้ามาทำ Subscription กับเราบ้างแล้ว”

มุ่งสู่ Top Of Mind Brand

ดร.มลฤดีกล่าวย้ำว่า อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ไม่ว่าจะทั้งการขยายสาขา และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าจะส่งผลให้ “เพ็ทแอนด์มี” กลายเป็น Top of Mind Brand ได้ในอนาคต ขณะที่สิ้นปี 2567 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตตามเป้า และในปี 2568 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในระดับปลายซิงเกิลดิจิต

ส่วนความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในปี 2568 มองว่าแม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่เชื่อมั่นว่า “เพ็ทแอนด์มี” จะสามารถมีความพร้อมในการรับมือ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน

27/12/2567  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 27 ธันวาคม 2567 )

ช่องยูทูปของ iCONS